วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555


 

“ การอ่านทำนองเสนาะ ” 



๑. ความหมายของ “การอ่านทำนองเสนาะ” 


การอ่านทำนองเสนาะคือวิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลงฉันท์ กาพย์ กลอน ( พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หน้า ๓๙๘ ) 
บางคนให้ความหมายว่า การอ่านทำนองเสนาะคือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ ) 


๒. วัตถุประสงค์ในการอ่านทำนองเสนาะ 
การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง ฉะนั้นทำนองเสนาะต้องอ่านออกเสียง เสียงทำให้เกิดความรู้สึก - ทำให้เห็นความงาม - เห็นความไพเราะ - เห็นภาพพจน์ ผู้ฟังสัมผัสด้วยเสียงจึงจะเข้าถึงรสและความงามของบทร้อยกรอง ที่เรียกว่าอ่านแล้วฟังพริ้ง – เพราะเสนาะโสด การอ่านทำนองเสนาะจึงมุ่งให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง 


๓. ที่มาของการอ่านทำนองเสนาะ 
เข้าใจว่า การอ่านทำนองเสนาะมีมานานแล้วแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เท่าที่ปรากฎหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พุทธศึกราช ๑๘๓๕ หลักที่หนึ่ง บรรทัดที่ ๑๘ - ๒๐ ดังความว่า “ ……….. ด้วยเสียงพาเสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่นเล่น ใครจักมักหัว – หัว ใครมักจักเลื้อน เลื้อน ……………..”จากข้อความดังกล่าว ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ กล่าวว่า เสียงเลื้อนเสียงขับ คือ การร้องเพลงทำนองเสนาะ 
ส่วน ทองสืบ ศุภะมารค ชี้แจงว่า “ เลื้อน ” ตรงกับภาษาไทยถิ่นว่า “ เลิ่น ” หมายถึง การอ่านหนังสือเอื้อนเป็นทำนอง ซึ่งคล้ายกับที่ประเสริฐ ณ นคร อธิบายว่า เลื้อน เป็นภาษาถิ่น แปลว่า อ่านทำนองเสนาะ โดยอ้างอิง บรรจบ พันธุเมธา กล่าวว่า คำนี้เป็นภาษาถิ่นของไทย ในพม่า คือไทยในรัฐฉานหรือไทยใหญ๋นั่นเอง จากความคิดเห็นของผู้รู้ ประกอบกับหลักฐาน พ่อขุนหลามคำแหงดังกล่าว ทำให้เชื่อว่า การอ่านทำนองเสนาะของไทยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว โดยเรียกเป็นภาษาถิ่นว่า “ เลื้อน ” 
ที่มาของต้นเค้าของการอ่านทำนองเสนาะพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีบ่อเกิดจากการดำเนินวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่มีความเกี่ยวพันกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่า คนไทยมีนิสัยชอบพูดคำคล้องจองให้มีจังหวะด้วยลักษณะสัมผัสเสมอ ประกอบกับคำภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์กำกับจึงทำให้คำมีระดับเสียงสูงต่ำเหมือนเสียงดนตรี เมื่อประดิษฐ์ทำนองง่าย ๆ ใส่เข้าไปก็ทำให้สามารถสร้างบทเพลงร้องขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นคนไทยจึงมีโอกาสได้ฟังและชื่นชมกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว 
ศิลปะการอ่านทำนองเสนาะจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้อ่าน และความไพเราะของบทประพันธ์แต่ละประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อ่านทำนองเสนาะจึงต้องศึกษาวิธีการอ่านให้ไพเราะและต้องหมั่นฝึกฝนการอ่านจนเกิดความชำนาญ 
อนึ่งศิลปะการอ่านทำนองเสนาะอยู่ที่ตัวผู้อ่านต้องรู้จัก วิธีการอ่านทอดเสียง โดยผ่อนจังหวะให้ช้าลง การเอื้อนเสียง โดยการลากเสียงช้า ๆ เพื่อให้เข้าจังหวะและให้หางเสียงให้ไพเราะ การครั่นเสียง โดยทำเสียงสะดุดสะเทือนเพื่อความไพเราะเหมาะสมกับบทกวีบางตอน การหลบเสียง โดยการหักเหให้พลิกกลับจากเสียงสูงลงมาเป็นต่ำ หรือจากเสียงต่ำขึ้นไปเป็นเสียงสูง เนื่องจากผู้อ่านไม่สามารถที่จะดำเนินตามทำนองต่อไปได้เป็นการหลบหนีจากเสียงที่เกินความสามารถ จึงต้องหักเหทำนองพลิกกลับเข้ามาดำเนินทำนองในเขตเสียงของตน และ การกระแทกเสียง โดยการอ่านกระชากเสียงให้ดังผิดปกติในโอกาสที่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจหรือเมื่อต้องการเน้นเสียง 
( มนตรี ตราโมท ๒๕๒๗ : ๕๐ ) 


๔. รสที่ใช้ในการอ่านทำนองเสนาะ 


     ๔.๑ รสถ้อย ( คำพูด ) แต่ละคำมีรสในคำของตนเอง ผู้อ่านจะต้องอ่านให้เกิดรสถ้อย 
ตัวอย่าง 
สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม 
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม 
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม 
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย 
( พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ ) 
    ๔.๒ รสความ (เรื่องราวที่อ่าน) ข้อความที่อ่านมีเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น โศกเศร้า สนุกสนาน ตื่น เต้น โกรธ รัก เวลาอ่านต้องอ่านให้มีลีลาไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องนั้น ๆ 
ตัวอย่าง : บทโศกตอนที่นางวันทองไปส่งพลายงามให้ไปหาย่าทองประศรีที่สุพรรณบุรี 
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล 
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา 
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา 
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง 
( เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม : สุนทรภู่ ) 
ตัวอย่าง : บทสนุกสนาน ในนิราศพระบาท ขณะมีมวยปล้ำ 
ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน 
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน ตั้งประจันจดจับขยับมือ 
ตีเข้าปับรับโปกสองมือปิด ประจบติดเตะผางหม้อขว้างหวือ 
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ คนดูอ้อเออกันสนั่นอึง 
   ๔.๓ รสทำนอง ( ระบบสูงต่ำซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) ในบทร้อยกรองไทยจะประกอบด้วยทำนองต่าง ๆ เช่น ทำนองโคลง ทำนองฉันท์ ทำนองกาพย์ ทำนองกลอน และทำนองร่าย เป็นต้น ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูก ต้องตามทำนองของร้อยกรองนั้น เช่น โคลงสี่สุภาพ 
สัตว์ พวกหนึ่งนี้ชื่อ พหุบา ทาแฮ 
มี อเนกสมญา ยอกย้อน 
เท้า เกิดยิ่งจัตวา ควรนับ เขานอ 
มาก จวบหมื่นแสนซ้อน สุดพ้นประมาณ ฯ 
    ๔.๔ รสคล้องจอง ในบทร้องกรองต้องมีคำคล้องจองในคำคล้องจองนั้นต้องให้ออกเสียงต่อเนื่องกัน โดยเน้นเสียงสัมผัสนอกเป็นสำคัญ เช่น 
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา 
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย 
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย 
ถึงสุราพารอดไม่วอดตาม ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป 
ไม่เมาหล้าแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน 
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่มาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน 
( นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่ ) 
๔.๕ รสภาพ เสียงทำให้เกิดภาพ ในแต่ละคำจะแฝงไปด้วยภาพ ในการอ่านให้เห็นภาพต้องใช้เสียง สูง – ต่ำ ดัง – ค่อย แล้วแต่จะให้เกิดภาพอย่างไร เช่น 
“ มดเอ๋ยมดแดง เล็กเล็กเรี่ยวแรงแข็งขยัน ” 
“ สุพรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ ” 
“ อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา ” 


๕. หลักการอ่านทำนองเสนาะ  

   มีดังนี้ 

    ๕.๑ ก่อนอ่านทำนองเสนาะให้แบ่งคำแบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคำประพันธ์เสียก่อน โดยต้องระวังในเรื่องความหมายของคำด้วย เพราะคำบางคำอ่านแยกคำกันไม่ได้ เช่น 
“ สร้อยคอขนมยุระ ยูงงาม ” 
( ขน – มยุระ , ขนม – ยุระ ) 
“ หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา ” 
( อีก – อก – ร่อง , อี – กอ – กร่อง ) 
“ ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี ” 
( เหมือน – มด , เหมือน – มด – อด ) 


   ๕.๒ อ่านออกเสียงธรรมดาให้คล่องก่อน 


   ๕.๓ อ่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำให้ถูกต้อง เช่น 
“ เกิดเป็นชายชาตรีอย่าขี้ขลาด บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสมอง 
หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที 
เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้ คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี 
ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย ” 


  ๕.๔ อ่านให้เอื้อสัมผัส เรียกว่า คำแปรเสียง เพื่อให้เกิดเสียงสัมผัสที่ไพเราะ เช่น 
พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา 
( อ่านว่า พระ – สะ – หมุด – สุด – ลึก – ล้น คน – นะ – นา ) 
ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร 
( อ่านว่า ข้า – ขอ – เคา – รบ – อบ – พิ – วาด ใน – พระ – บาด – บอ – พิด – อะ – ดิด – สอน ) 
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ 
( อ่านว่า ขอ – สม – หวัง – ตั้ง – ประ – โหยด – โพด – พิ – ยาน ) 


  ๕.๕ ระวัง ๓ ต อย่าให้ ตกหล่น อย่าต่อเติม และอย่าตู่ตัว


  ๕.๖ อ่านให้ถูกจังหวะ คำประพันธ์แต่ละประเภทจะมีจังหวะแตกต่างกัน ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนตามแบบแผนของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น 
มุทิงคนาฉันท์ ( ๒ - ๒ - ๓ ) 
“ ป๊ะโท่น / ป๊ะโทน / ป๊ะโท่นโทน บุรุษ / สิโอน / สะเอวไหว 
อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป สะบัด / สไป / วิไลตา ” 


 ๕.๗ อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์นั้น ๆ ( รสทำนอง ) 


  ๕.๘ ผู้อ่านต้องใส่อารมณ์ตามรสความของบทประพันธ์นั้น ๆ รสรัก โศก ตื่นเต้น ขบขัน โกรธ แล้วใส่น้ำเสียงให้สอดคล้องกับรสหรืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น 


  ๕.๙ อ่านให้เสียงดัง ( พอที่จะได้ยินกันทั่วถึง ) ไม่ใช่ตะโกน 


   ๕.๑๐ ถ้าเป็นฉันท์ ต้องอ่านให้ถูกต้องตามบังคับของครุ - ลหุ ของฉันท์นั้น ๆ 
ลหุ คือ ที่ผสมด้วยสระเสียงสั้น และไม่มีตัวสะกด เช่น เตะ บุ และ เถอะ ผัวะ ยกเว้น ก็ บ่อ นอกจาก นี้ถือเป็นคำครุ ( คะ – รุ ) ทั้งหมด 
ลหุ ให้เครื่องหมาย ( ุ ) แทนในการเขียน 
ครุ ใช้เครื่องหมาย ( ั ) แทนในการเขียน 
ตัวอย่าง : วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ มีครุ - ลหุ ดังนี้ 
ั ั ุ ั ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั 

ั ั ุ ั ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั 
อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์ อรองค์กับอบบาง 
( อ่านว่า อ้า – เพด – ก็ – เพด – นุ – ชะ – อะ – นง อะ – ระ – อง – ก้อ – บอบ – บาง ) 
ควรแต่ผดุงสิริสะอาง ศุภลักษณ์ประโลมใจ 
( อ่านว่า ควน – แต่ – ผะ – ดุง – สิ – หริ – สะ – อาง สุ – พะ – ลัก – ประ – โลม – ใจ ) 


    ๕.๑๑ เวลาอ่านอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น 
“ วันนั้นจันทร มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นดินฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร ” 


     ๕.๑๒ เวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ 


๖. ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ 


๖.๑ ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน 
๖.๒ ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง ( อาการรู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง ) 
๖.๓ ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน 
๖.๔ ช่วยให้จำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ 
๖.๕ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือนเย็น ( ประโยชน์โดยอ้อม ) 
๖.๖ ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น